ท้องผูกคืออาการไม่ใช่โรค หมายถึงการที่ลำไส้ไม่สามารถถ่ายอุจจาระได้ง่ายและเป็นประจำ โดยมีความถี่ของการขับถ่ายอุจจาระน้อยกว่าทุก ๆ สามวัน หรือวันเว้นสองวัน ร่วมกับก้อนอุจจาระมีลักษณะแข็งและยากต่อการขับถ่ายออกมา บางคนที่มีอาการอาจรู้สึกปวดเวลาถ่ายอุจจาระ
ซึ่งมักจำต้องออกแรงเบ่ง ท้องอืดมีลมเยอะ แน่นท้องแล้วก็คิดว่าถ่ายไม่หมด บางคนอาจมีความรู้สึกว่าตัวเองถ่ายยากลำบอกและถ่ายไม่ออกถ้าไม่ได้ถ่ายอุจจาระออกมาแต่ละวัน แต่การขับถ่ายมีความปรวนแปรต่างกันในแต่ละคน จากวันละสามเวลาไปจนกระทั่งสามวันครั้งได้
สาเหตุของอาการเกิดจาก
- การกลั้นเป็นประจำซึ่งอาจจะเป็นผลให้นิสัยเสียไป
- การขาดการบริหารร่างกาย
- ความเครียด
- กินอาหารที่มีใยอาหารไม่พอ
- การใช้ยาบางจำพวกยาบำรุงเลือด ยาแก้ไข้ที่มีไซเดอนหรือฝิ่น ยาแก้ชัก ยารักษาโรคหัวใจ
บอกลาอาการด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้
1.เพิ่มใยอาหารให้มากขึ้น
ทางแก้ธรรมชาติที่หลายคนอาจมองผ่านคือการรับประทานใยอาหารหรือไฟเบอร์ เพื่อช่วยทำให้ไส้กลับมาทำงานปกติได้ไว โดยธรรมดามนุษย์เราควรจะได้รับใยอาหารโดยประมาณ 20-35 กรัมต่อวัน ซึ่งพบได้บ่อยในอาหารชนิดผัก ผลไม้สดหรือแห้ง เมล็ดพืช ยกตัวอย่าง
เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวซ้อมมือ ลูกพรุน แครอท หน่อไม้ฝรั่ง ลูกเกด คนที่ไม่เคยชินบางทีอาจค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยเลือกรับประทานผักผลไม้ให้ได้วันละ 5 ส่วน รวมทั้งในแต่ละมื้อต้องมีผักผลไม้ที่มีสีสันแตกต่างกัน เพื่อร่างกายได้รับประโยชน์อย่างครบถ้วน ส่วนผู้ที่ได้รับใยอาหารไม่พอสามารถเพิ่มสารเพิ่มปริมาณ (Bulking Agents) ในอาหารที่รับประทาน
เป็นต้นว่า รำข้าวสาลี หรือรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเส้นใย อย่างเช่น ไซเลียม (Psyllium) เมธิลเซลูโลส (Methylcellulose) เพื่อช่วยทำให้อุจจาระอ่อนตัวลงและก็ง่ายต่อการขับถ่าย ยิ่งกว่านั้น ควรจะหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมประเภทต่าง ๆ แล้วก็อาหารไขมันสูงในช่วงที่มีอาการ เนื่องจากว่าอาจจะส่งผลให้อาการไม่ดีขึ้น
2.ดื่มน้ำมาก ๆ
แม้ว่าน้ำที่ไปสู่ร่างกายจะถูกขับผ่านทางปัสสาวะเป็นหลัก แต่ว่าบางส่วนจะถูกขับผ่านทางอุจจาระเหมือนกัน คนที่มีอาการจำเป็นต้องดื่มน้ำสะอาดควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารด้วย เพื่อช่วยทำให้ใยอาหารซับน้ำได้ดี ทำให้อุจจาระขยายตัว นุ่ม แล้วก็เบ่งออกได้ง่าย รวมถึงลดการอุดตันของลำไส้ แล้วก็ป้องกันอาการท้องอืด จากการรับประทานใยอาหารมากเกินความจำเป็น
ในทุก ๆ วันมนุษย์เราควรจะดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ลิตรหรือราว 8-10 แก้ว โดยช่วงแรกให้เบา ๆ เพิ่มปริมาณในการดื่มน้ำให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 3-4 แก้วจากปริมาณน้ำที่ดื่มปกติในทุก ๆ วัน และก็หลีกเลี่ยงการได้รับน้ำจากเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เพราะว่าจะมีผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำออกไปมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ การดื่มน้ำไม่เพียงพอในขณะเกิดอาการอาจจะส่งผลให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ เพราะว่าลำไส้มีการดูดน้ำจากอุจจาระที่ตกค้างกลับไปสู่ร่างกาย ทำให้อุจจาระแข็ง ถ่ายออกลำบาก
3.ขยันบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ
ควรจะบริหารร่างกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน บางทีอาจเป็นการเดินหรือวิ่งเหยาะ ๆ รวมถึงพยายามขยับเขยื้อนร่างกายในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ เพื่อช่วยเพิ่มการบีบตัวของลำไส้มากเพิ่มขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อรวมทั้งระบบขับถ่ายทำงานปกติมากยิ่งขึ้น
4.ปรับพฤติกรรมการขับถ่ายให้ถูก
วิถีที่รีบร้อนของสภาพสังคมก็มีส่วนทำให้มีการเกิดอาการได้ง่าย คนที่มีอาการบ่อยครั้งควรจะเริ่มปรับพฤติกรรมการขับถ่ายให้ตรงเวลาในทุกวัน ไม่กลั้นอุจจาระเมื่อเกิดอาการปวดโดยไม่จำเป็นหรือถ่ายด้วยความเร่งรีบ นอกเหนือจากนั้น ท่านั่งสำหรับการถ่ายอุจจาระก็สำคัญ การนั่งถ่ายบนโถส้วมชักโครกควรจะโค้งตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย อาจมีเก้าอี้ตัวเล็กรองรอบ ๆ ขา เพื่อชันเข่าขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้เข่าอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าบั้นท้าย ซึ่งเป็นท่าที่ช่วยทำให้สบายต่อการขับถ่าย
5.เสริมการทำงานของลำไส้ด้วยโปรไบโอติกส์
การรับประทานโปรไบโอติกส์ที่พบในอาหารต่าง ๆ หรือผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกส์ในแบบอาหารเสริมบางทีอาจเป็นอีกตัวเลือกที่ช่วยทุเลาอาการให้ดียิ่งขึ้นได้ อีกทั้งยังค่อนข้างปลอดภัยและไม่ค่อยเกิดผลข้าง ๆ อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าโปรไบโอติกส์ช่วยลดอาการในทุกรายได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะมีการศึกษาที่ยังไม่มากพอรวมทั้งแต่ละคนอาจมีการตอบสนองต่อแบคทีเรียที่ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม อาการที่เกิดขึ้นเป็นบางโอกาสบางทีอาจไม่ใช่เรื่องน่าห่วงมากสักเท่าไรนัก จึงอาจไม่ต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยทุกคน เนื่องจากว่าเป็นอาการทั่ว ๆ ไปที่เกิดได้ในชีวิตประจำวัน ยกเว้นอาการที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร การใช้ชีวิตประจำวัน หรือการใช้ยา อาการรุนแรงเยอะขึ้นกว่าเดิมถึงแม้ว่าทุเลาอาการเบื้องต้นด้วยการทานยาระบายก็ไม่หาย
ซึ่งการใช้ยาระบายบ่อยมากจะเป็นผลเสียต่อสภาพร่างกาย มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งลำไส้หรือกลุ่มโรคที่มีการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร รวมถึงมีอาการเปลี่ยนไปจากปกติอื่น ๆ เช่น ถ่ายผสมเลือด น้ำหนักลง หรือท้องผูกเรื้อรังนานมากกว่า 3 อาทิตย์ขึ้นไป ควรจะไปพบหมอ เพื่อค้นหาสาเหตุและก็ทางออกอย่างถูกทาง